สุขภาพ

img

ถาม - ตอบกัน เรื่องทำฟัน

รวม FAQ เกี่ยวกับฟัน

Q : ฟันตามธรรมชาติของคนมีกี่ชุด
A : มี 2 ชุด คือ ฟันแท้ และฟันน้ำนม

Q : ฟันน้ำนมเริ่มขึ้นเมื่ออายุเท่าไร
A : 2 ขวบ - 2 ขวบครึ่ง

Q : ฟันน้ำนมมีกี่ซี่
A : 20 ซี่

Q : ทำไมจึงต้องรักษาฟันน้ำนมให้ดี
A : เพราะฟันน้ำนมช่วยรักษาพื้นที่ให้ฟันแท้ที่จะขึ้นแทนที่ หากสูญเสียฟันน้ำนมไปเร็ว จะเกิดฟันล้มหรือเคลื่อน ทำให้ฟันแท้มีโอกาสซ้อนเกมากขึ้น

Q : ฟันแท้มีกี่ซี่
A : 32 ซี่

Q : ฟันกราม 4 ซี่ สุดท้ายจะเริ่มขึ้นเมื่อไร
A : อายุประมาณ 18 ปีขึ้นไป

Q : ฟันแท้จะอยู่นานแค่ไหน
A : ฟันแท้สามารถอยู่กับเราไปได้ชั่วชีวิต

Q : อะไรคือสาเหตุของโรคฟันและเหงือก
A : คราบจุลินทรีย์

Q : คราบจุลินทรีย์คืออะไร
A : เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ร่วมกับน้ำตาล และโปรตีนในน้ำตาลมักติดบนผิวฟัน

Q : วิธีกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่ดีที่สุดคือ
A : การแปรงฟันควบคู่กับการใช้ไหมขัดฟัน

Q : ถ้ากำจัดคราบจุลินทรีย์ไม่หมดจะมีผลอย่างไร
A : จะเกิดการสะสม และกลายเป็นหินปูน

Q : วิธีกำจัดคราบหินปูนที่ดีที่สุดคืออะไร
A : พบทันตแพทย์ เพื่อขูดหินปูน

Q : ทานอาหารอย่างไรให้สุขภาพฟันดี
A : ลดอาหารจุกจิก เลือกทานถั่วและผลไม้แทนแป้งและน้ำตาล ในอาหารว่าง ลดปริมาณและความถี่ในการทานอาหารที่มีน้ำตาล เช่น ชา กาแฟ แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร

Q : แร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันคืออะไร
A : แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส

Q : อาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงได้แก่
A : นม เนย ไข่แดง ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น

Q : การดื่มน้ำผลไม้มีผลกระทบต่อฟันหรือไม่
A : น้ำผลไม้บางชนิดอาจทำให้ฟันสึกกร่อนได้ เพราะมีกรดซิตริก สามารถละลายแคลเซี่ยม ในผิวเคลือบฟันออก เมื่อดื่มน้ำผลไม้ควรดื่มน้ำตาม หรือบ้วนปากทุกครั้ง

Q : น้ำอัดลมมีผลต่อฟันอย่างไร
A : น้ำอัดลม มีส่วนผสมของน้ำตาล ที่ใช้เป็นอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ เมื่อจุลินทรีย์นำไปใช้เป็นอาหาร แล้วจะปล่อยของเสียเป็นกรดมากัดกร่อนเหงือกและฟัน

Q : การแปรงฟันควรแปรงวันละกี่ครั้ง
A : ทุกครั้งหลังอาหาร หรืออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

Q : การแปรงฟันแต่ละครั้ง ควรใช้เวลาแค่ไหนจึงสะอาดทั่วถึง
A : ประมาณ 2-3 นาที แต่ผู้ที่เป็นโรคปริทันต์ ควรใช้เวลามากขึ้น

Q : การแปรงฟันแนวขวางเป็นประจำ มีผลเสียอย่างไร
A : ทำให้เหงือกร่น ฟันผุ และเสียวฟัน

Q : อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสีชั่วคราว
A : เกิดจากคราบบุหรี่ ชา กาแฟ การแปรงฟันทำให้กลับเป็นปกติได้

Q : สาเหตุของฟันเปลี่ยนสีถาวรคืออะไร
A : เกิดการฟันถูกกระทบกระเทือน ทำให้ฟันตาย กลายเป็นสีคล้ำ รักษาด้วยการรักษารากฟัน

Q : สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเสียวฟัน คืออะไร
A : เกิดจากการแปรงฟันผิดวิธี ทำให้ฟันสึก แก้ไขโดยการแปรงฟันให้ถูกวิธี และควรอุดฟันที่สึก

Q : ควรป้องกันอุบัติเหตุกับฟัน ที่เกิดจากการเล่นกีฬาอย่างไร
A : ใช้ฟันยางซึ่งเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่ง ใช้ใส่เพื่อป้องกันอันตรายขณะเล่นกีฬา มีจำหน่ายที่ร้านขายเครื่องกีฬา

Q : คราบฟันจาก บุหรี่ ชา กาแฟ แก้ไขอย่างไร
A : การสูบบุหรี่หรือกินอาหาร เครื่องดื่มที่มีสีเป็นประจำ จะมีการสะสมของสีบนผิวฟันที่ขรุขระ เกิดเป็นคราบสีต่างๆ ไม่น่าดู แก้ไขด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ ด้วยยาสีฟันที่มีประสิทธิภาพ

Q : การสูบบุหรี่นอกจากจะทำให้เกิดฟันเหลือง แล้วยังมีผลเสียอย่างไรต่อสุขภาพในช่องปาก
A : ทำให้เกิดการระคายในช่องปาก เหงือก เพดานเป็นฝ้าขาว มีการอักเสบของรูเปิดของท่อน้ำลายบริเวนด้านใน มีการหนาตัวของเยื่อบุผิว อาจจะทำให้เกิดมะเร็งริมฝีปากได้

Q : สุขภาพฟันและระบบย่อยอาหาร มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
A : อาหารที่ผ่านการบดเคี้ยวยิ่งละเอียดเท่าไร กระเพาะอาหารและลำไส้ ก็ทำงานน้อยลง และดูดซับแร่ธาตุได้มากขึ้น

Q : เราสามารถตรวจคราบจุลินทรีย์ ภายหลังการแปรงฟันได้ด้วยวิธีใด
A : 1. ใช้ลิ้นสัมผัสตามผิวฟัน ถ้ามีคราบจุลินทรีย์จะรู้สึกมีเมือกสากๆ เกาะที่ผิว 2. มองด้วยตาเปล่าจะมีคราบขาวขุ่นๆ ติดอยู่ตามซอกเหงือกและฟัน

Q : โรคฟันผุคืออะไร
A : คือการที่ฟันถูกทำลายให้เป็นรูหรือโพรง การทำลายนี้จะเป็นไปเรื่อยๆ โดยที่ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมได้

Q : วิธีทดสอบว่าฟันผุหรือไม่ ทำอย่างไร
A : 1. มีจุดดำที่ร่องฟัน สามารถมองเห็นได้ด้วยการใช้กระจกส่องฟัน 2. มองด้วยตาเปล่าจะมีคราบขุ่นๆ ขาว ติดอยู่ที่ซอกเหงือกและฟัน 3. เมื่อใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยบริเวณร่องฟ้น จะมีอาการเสียวฟัน 4. รับประทานอาหารเย็นจัด ร้อนจัด หรือหวานจัดจะรู้สึกเสียวฟันจนปวดฟัน 5. มีกลิ่นปากตลอดเวลา

Q : ฟันผุถึงโพรงประสาทจะมีผลต่อร่างกายอย่างไร
A : เชื้อจุลินทรีย์จะแทรกซึมเข้าไปยังเซลล์ประสาท และแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทางเส้นเลือด โรคที่พบบ่อย เช่น เยื่อบุฟันอักเสบ ตับอักเสบ ฝีที่ปอด และเยื่อบุสมองอักเสบ

Q : สาเหตุของโรคฟันผุคือ
A : กรดทำลายฟันที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ ทำปฏิกิริยากับน้ำตาลในเศษอาหาร กรดนี้จะค่อยๆ ทำลายฟัน ทำให้เกิดฟันผุ

Q : ฟันผุสามารถรักษาได้อย่างไร
A : รักษาได้ด้วยการอุดฟัน เพื่อยับยั้งการลุกลามของโรค ทันตแพทย์จะกรอฟันส่วนที่ผุออกหมด แล้วจึงเอาวัสดุอุดฟันใส่แทนที่ แต่งวัสดุอุดฟันให้พอดีจนแข็งตัว จึงใช้เคี้ยวอาหารได้ตามปกติ

Q : วัสดุที่ใช้อุดฟันมีกี่ชนิด
A : โดยส่วนใหญ่ มี 2 ชนิด คือ 1. ชนิดอมัลกัม มีสีเงินนิยมใช้กับฟันหลัง เพราะทนทานรับแรงบดเคี้ยวได้ดี ราคาถูก 2.  ชนิดคอมโฟสิตเรซิน มีสีเหมือนฟันธรรมชาติ ใช้กับทั้งฟันหน้าและฟันกราม

Q : เพราะเหตุใด โรคฟันผุจึงพบในวัยรุ่นมากที่สุด
A : เด็กวัยรุ่นมักหิวบ่อย และชอบทานของหวาน ของขบเคี้ยวเป็นประจำ นอกจากนี้ยังพบว่าวัยรุ่นเป็นโรคเหงือกอักเสบกันมาก ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่สาเหตุส่วนใหญ่ก็คือการรักษาความสะอาดของฟันไม่เพียงพอ

Q : พฤติกรรมใดที่มีผลเสียต่อสุขภาพฟันของเด็กเล็ก
A : เด็กเล็กมีนิสัยชอบดูดนิ้วมือ หรือดูดหัวนมปลอม ทำให้ขากรรไกรผิดปกติ ฟันหน้ายื่น

Q : คุณแม่จะป้องกันโรคฟันผุในเด็กเล็กอย่างไร
A : ถ้าเลือกได้ควรให้ดูดนมแม่ ถ้าจำเป็นต้องดูดนมขวด ควรเลือกชนิดที่ไม่หวาน ไม่ควรให้เด็กดูดนมจนหลับคาขวด และหลังการดูดนมควรให้ดูดน้ำทุกครั้ง

Q : พฤติกรรมใดที่มีผลเสียต่อสุขภาพฟันผู้ใหญ่
A : การกัดเล็บ ดินสอ ด้ามแว่นตา หรือใช้ฟันเปิดฝาขวด เป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันเก บิด แตกหรือหัก

Q : หน้าที่ของฟันคืออะไร
A : 1. ใช้บดเคี้ยวอาหาร 2. เสริมบุคลิกให้ดูสวยงาม 3. ช่วยในการออกเสียง

Q : โรคปริทันต์เป็นอย่างไร
A : อาการที่เหงือกอักเสบรุนแรง ทำลายเยื่อยึดรากฟันทำให้เป็นฝีหนอง และมีกลิ่นปาก

Q : ถ้าเหงือกร่นแล้วมีอาการเสียวฟัน จะแก้ไขอย่างไร
A : 1. ใช้ยาสีฟันที่มีสารช่วยลดอาการเสียวฟันเป็นประจำ 2. พบแพทย์เพื่อทาสารลดการเสียวฟัน 3. อุดฟันเฉพาะส่วนที่รากฟันโผล่พ้นขอบเหงือกขึ้นมา

Q : การเกลารากฟันคืออะไร
A : การกำจัดหินปูนที่อยู่ใต้ขอบเหงือก

Q : เลือดออกขณะแปรงฟันเกิดจากเกิดจากสาเหตุใด
A : เกิดจากอาการเหลือกอักเสบ

Q : โรคเหงือกอักเสบ และปริทันต์ มีอาการอย่างไร
A : 1. เลือดออกขณะแปรงฟัน 2. เหงือกบวม แดง นิ่ม 3. เหงือกแยกตัวออกจากฟัน 4. มีกลิ่นปาก 5. มีคราบจุลินทรีย์ มีหินปูนเกาะบริเวณคอฟัน 6. มีหนองบริเวณคอฟัน 7. ฟันโยก 8. กัดอาหารแล้วรู้สึกว่าฟันไม่แน่น

Q : เหตุใดผู้มีอาการเหงือกอักเสบ จึงมีเลือดออกขณะแปรงฟัน
A : เมื่อช่องปากมีการอักเสบจะมีเลือดไหลเวียน มายังตำแหน่งที่อักเสบมาก ทำให้มีเลือดออกง่าย เมื่อมีการกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย จากการเสียดสีของขนแปรงขณะแปรงฟัน

Q : โรคปริทันต์ หากปล่อยไว้นานจะมีผลอย่างไร
A : มีกลิ่นปากน่ารังเกียจ เมื่อมีการทำลายกระดูกมากขึ้น จะทำให้ฟันโยก และหลุดออกไป โดยที่ตัวฟันยังมีสภาพดีอยู่

Q : อันตรายที่เกิดจากหินปูนคือ
A : หินปูนมีลักษณะขรุขระ เป็นที่สะสมของคราบจุลินทรีย์ ซึ่งจะขับสารพิษออกมาทำให้เหงือกอักเสบ คราบหินปูนไม่สามารถขจัดได้ด้วยการแปรงฟัน จะต้องพบแพทย์เพื่อขูดออก

Q : ทำอย่างไรจึงจะสามารถลดการสะสมตัวของการเกิดหินปูนได้
A : ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของไตรโคลซาน ที่มีผลในการลดการสะสมของการเกิดหินปูน

Q : กลิ่นปากเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง
A : 1. เกิดจากความไม่สะอาดของช่องปาก เศษอาหารที่ตกค้างบูดเน่าตามซอกฟัน หนองปลายรากฟัน เหงือกอักเสบ แผลเรื้อรัง 2. เกิดจากโรคทางร่างกาย เช่น ต่อมทอนซิล กระเพาะอาหารอักเสบ ไซนัสอักเสบ โรคเยื่อบุโพรงจมูกและปอด

Q : จะแก้ไขการเกิดกลิ่นปากได้อย่างไร
A : สาเหตุเกิดจากช่องปาก หรือตามร่างกาย กรณีเกิดจากช่องปากให้รักษาอย่างถูกวิธีจากทันตแพทย์ ถ้าเกิดจากกรณีอื่น เช่น โรคจากร่างกายต้องขอคำแนะนำจากแพทย์

Q : การกลืนยาสีฟันขณะแปรงฟันเป็นอันตรายหรือไม่
A : สารในยาสีฟันเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ถ้าเผลอกลืนเข้าไปร่างกายสามารถขับออกได้

Q : แผลในปากรักษาอย่างไร
A : แผลในปากเรียกว่า แผลร้อนใน ทำให้เกิดอาการเจ็บ กินอาหารไม่สะดวก การรักษาทำได้ด้วยการรักษาความสะอาด และการใช้ขี้ผึ้งพวกสเตียรอยด์สำหรับทาแผลในปากโดยเฉพาะ ปกติแผลในปากจะหายได้เองใน 2 สัปดาห์

Q : การแปรงลิ้นมีประโยชน์อย่างไร
A : เมื่อแปรงลิ้นควบคู่กับการแปรงฟัน จะสามารถขจัดคราบขาวบนลิ้นอันเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียและอาหารได้ ช่วยป้องกันโรคฟันผุและกลิ่นปาก

Q : การแปรงลิ้นทำได้อย่างไร
A : ใช้วิธีกวาดมาทางด้านหน้า ทำประมาณ 4-5 ครั้ง

Q : น้ำยาบ้วนปากมีประโยชน์อย่างไร
A : ช่วยกำจัดคราบแบคทีเรียในตามซอกฟัน เหงือก และ ลำคอ ด้วยสารต่อต้านคราบจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง

Q : ไม้จิ้มฟันสามารถกำจัดแบคทีเรียได้หรือไม่
A : เราสามารถใช้ไม้จิ้มฟันกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่ติดอยู่ในบริเวณคอฟัน และระวังอย่างให้ไม้จิ้มฟันโดนเหงือก

Q : คุณแม่ควรแปรงฟันให้เด็กเล็ก
A : เพราะเด็กเล็ก วัย 2-6 ขวบ ไม่อดทนที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้นาน และเพื่อมั่นใจว่าฟันของเด็กสะอาดจริง พ่อแม่ควรแปรงฟันให้อย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน

Q : ดื่มน้ำไว้อย่าให้ปากแห้ง
A : เพราะการที่เรามีปากแห้ง มีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นปาก และฟันผุได้ง่าย

Q : อาการปากแห้งเกิดจากสาเหตุใด
A : 1. ดื่มน้ำน้อย 2. พูดเป็นเวลานาน 3. มีความเครียด 4. ทานยาบางชนิด 5. รับการฉายรังสีรักษาโรค

Q : ทำไมต้องแปรงฟันนานอย่างน้อย 2-3 นาที
A : 1. ทำให้สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างทั่วถึง 2. ฟูลออไรด์ในยาสีฟันมีเวลามากพอที่จะเข้าไปจับตัวกับผิวเคลือบฟัน ช่วยป้องกันฟันผุได้

Q : นอกจากการแปรงฟันควรดูแลสุขภาพฟันด้วยตนเองอย่างไรบ้าง
A : ควรตรวจฟันเองที่หน้ากระจก และใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาด

Q : ในยาสีฟันประกอบด้วยอะไรบ้าง
A : ผงขัดฟัน สารทำให้เกิดฟอง สารปรุงแต่งกลิ่น รส และสารกันบูด และอื่นๆ ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของฟัน เช่น ฟูลออไรด์

Q : ฟันแม่เสียแคลเซี่ยม เพื่อสร้างฟันให้ลูกในครรภ์จริงหรือ
A : ไม่จริง เพราะระยะตั้งครรภ์หากแม่ได้รับแคลเซี่ยมไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซี่ยมจากกระดูกของแม่ไปใช้ ไม่ใช่จากฟัน หากเกิดฟันผุในช่วงนี้มีสาเหตุมาจากแม่กินจุกจิกมากกว่า

Q : นมรสหวานเป็นสาเหตุทำให้เด็กฟันผุ
A : เพราะน้ำตาลที่มีอยู่ในนมเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุ หากต้องการจูงใจให้เด็กดื่มนมรสหวาน ควรเพิ่มมาตรการป้องกันฟันผุเช่น แปรงฟัน บ้วนปากหลังการดื่มนม

Q : ทำอย่างไรให้ลูกไม่กลัวการทำฟัน
A : พาลูกไปหาหมอฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ให้เรียนรู้ทีละน้อยจากการทำความสะอาดฟัน เคลือบฟูลออไรด์ก่อนที่จะอุดฟัน

Q : ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่มักมีอาการเหงือกอักเสบเพราะสาเหตุใด
A : เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ควรพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดฟัน

Q : มารดาในระยะตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารประเภทใด ที่จะช่วยบำรุงฟัน และกระดูกของทารกในครรภ์
A : รับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส เช่น นม ไข่แดง งา อาหารทะเล พวกปู หอย ปลาตัวเล็กๆ ที่กินทั้งตัว กุ้งแห้ง ผักสีเขียวและผลไม้

Q : ควรทำความสะอาดช่องปากให้ลูกน้อยแรกเกิดจนถึงฟันน้ำนมเช่นไร
A : ใช้ผ้ากอสหรือสำลีชุบยาสีฟันเช็ดเหงือกและฟันให้ลูก วันละ 2-3 ครั้ง

Q : ควรให้เด็กเล็กดูดนมจนหลับถึงอายุเท่าไร
A : เมื่อลูกน้อยอายุ 1-2 ขวบ ควรหยุดให้เด็กดูดนมจนหลับคาปากเพื่อป้องกันฟันผุ

Q : การปล่อยให้เด็กดูดนมจากขวด หรือหัวนมยาง จนอายุเกินขวบครึ่ง มีผลอย่างไรต่อฟันเด็ก
A : มีผลต่อการเรียงตัวของฟันบนขากรรไกร ทำให้ฟันยื่น เพดานปากลึกและสบฟันไม่ปกติ

Q : เราควรพบทันตแพทย์เมื่อใด
A : ทุก 180 วัน อย่างน้อย

Q : ผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอมควรไปพบทันตแพทย์บ่อยแค่ไหน
A : ทุก 6 เดือน

 

อัลบั้มภาพ